เทศน์เช้า วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ปลูกต้นไม้เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของมนุษย์ สัตว์โลก เห็นไหม มันเป็นอาหารของสัตว์ โลกนี่ทรัพยากรเราใช้มันมาก ใช้มันมากแล้วเราเร่งด้วย ทางวิทยาศาสตร์จะไปเร่งทรัพยากร เร่งพืชพันธุ์ธัญญาหารให้พอกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ไง แล้วมนุษย์ไปใช้สอยธรรมชาติจนเกินไป เห็นไหม แล้วเราพยายามไปฟื้นฟูกัน นี่วงจรชีวิตจะเป็นอย่างนี้ ห่วงโซ่ของอาหาร ห่วงโซ่ของชีวิต เห็นไหม มันต้องพึ่งพาอาศัย
ที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั่นมีชีวิต ถ้ามีชีวิตนะ มีปัจจัยเครื่องอาศัยชีวิตนี้ก็พอดำรงเป็นสุข เห็นไหม อันนี้เรียกว่าบุญนะ บุญและบาป บุญหมายถึงว่า สมัยโบราณ เห็นไหม สรรพสิ่งต่างๆ เกิดจากธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันนี่วิทยาศาสตร์ไปเร่ง พยายามจะแบบว่าให้ทรัพยากรพอใช้กับมนุษย์นะ แล้วมีการสะสม มีการบริหารจัดการ ยิ่งบริหารจัดการ เห็นไหม ดูซีกโลกหนึ่งเด็กเป็นโรคอ้วน ซีกโลกหนึ่งเด็กเป็นโรคขาดอาหาร นี่บริหารจัดการ มันบริหารจัดการโดยกิเลส เห็นไหม บริหารจัดการโดยเรา เราต้องเอาของเราให้พออยู่พอกินก่อน แล้วเด็กเดี๋ยวนี้เป็นโรคอ้วนนะ ถ้าเด็กที่มีใช้จ่ายมากเกินไปก็เป็นโรคอ้วน เห็นไหม
เราดูทางสารคดี เขาบอกเลย โรคความรวยไง ความรวยทำลายลูกไง ความรวยมันไปทำลายลูกหลานให้เสียนิสัย เห็นไหม พ่อแม่ถึงจะต้องพยายามอบรม แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องความคิดทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าคิดทางธรรมนะ นี่กรรม กรรมถ้าเกิดมาดีเด็กนี่เม็ดในดีนะ เห็นไหม อภิชาตบุตร บุตรเกิดมาดีอย่างไรก็ดี แต่ถ้าบุตร เห็นไหม ถ้ามีกรรมต่อกันนะ บุตรเกิดมาทำให้เรามีปัญหา สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของบุญของกรรม แต่บุญกรรมก็แก้ไขได้ แก้ไขโดยที่เราทำบุญกุศลอยู่นี่เรื่องการแก้ไข
พระนี่เป็นตัวบาลานซ์สังคมนะ สังคมถ้าที่ไหนมันมีมากเกินไป เห็นไหม พระเป็นตัวบาลานซ์ คือว่ามาถึงทำบุญกุศล แล้วพระนี่จะแจกจ่ายออกไป เพราะอะไร เพราะพระถ้ามีคุณธรรมในหัวใจนะ คนเรามีปากมีท้องเหมือนกัน ใช้สอยแค่ความเป็นอยู่เท่านั้นล่ะ แต่ถ้าความโลภมันไม่มีวันพอหรอก ความโลภ เห็นไหม ความโลภมันไม่มีวันพอ ความโลภสะสมไว้ทำไม? นี่เงินหรือว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลกนี่ ถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์ เห็นไหม ดูคนที่เขาใจเป็นบุญกุศล เขาทำบุญกุศลของเขา คนที่คดโกงก็จะทำสิ่งต่างๆ เห็นไหม นี่บุญ ทำบุญอันนี้ ดูสิ เวลามีเงินมีทองขึ้นมานี่ทำให้เสียนิสัยไปได้ เห็นไหม โรคคนรวยมันรังแกลูกเรานะ โรครวยนะรังแกไม่ให้ลูกเราเป็นสภาวะแบบนั้น
ในสมัยพุทธกาลนะ มีเด็ก เห็นไหม ไม่เคยรู้จักอาหารเอามาจากไหนเลย เด็กเขากินข้าวกันแล้วเขาถามปัญหากันว่า ข้าวนี่เกิดมาจากไหน คนหนึ่งเห็นว่า เกิดมาจากหม้อ เห็นเขาตักมาจากหม้อไง อีกคนหนึ่ง ข้าวเกิดจากจาน เห็นไหม นี่ข้าวเกิดมาจากจาน เพราะมีอำนาจวาสนามาก เวลาเขาไปเล่นแบบเด็กเล่นพนันกัน เห็นไหม ว่าใครแพ้ต้องเอาอาหารมาเลี้ยงกัน เห็นไหม เลี้ยงจนหมด แพ้จนหมดเลย พ่อแม่ก็เอามาส่งจนหมด เห็นไหม พอเอาอีกแม่บอกว่าหมดแล้ว บอกว่าขนมไม่มี
นี่เพราะเขาสร้างบุญกุศลมา เห็นไหม เทวดานี่ต้องเอา.. นี่เขาเอาฝาชีแล้วปิดกับถาดเปล่าๆ ไป อยากจะสอนลูกเราไงว่าไม่มีคืออะไร ไม่รู้จักคำว่าไม่มีนะ
พอไปถึงว่า ไม่มี พอลูกเปิดเข้าไปขนมนี่เป็นขนมเทวดา ด้วยฤทธิ์ของเทวดาไง หอมมาก หอมมาก อร่อยมาก ลูกคิดน้อยใจเลยว่าแม่ไม่รักเรา ถ้าแม่รักเราแม่ต้องให้ขนมไม่มีเรากินนานแล้ว ทำไมไม่ให้ขนมไม่มีมากินเลย แล้วไปถามแม่ว่า ขนมไม่มีทำไมมันอร่อยขนาดนี้ แม่นี่รู้เลยว่าลูกมีบารมีขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ของไม่มี เห็นไหม แต่ด้วยฤทธิ์ของเทวดาก็ทำให้มีขึ้นมาได้
สิ่งที่ว่าบุญกุศลเราสร้างบุญกุศลกัน บุญกุศลเพื่อเรา เห็นไหม นี่ในป่าก็เหมือนกัน เห็นไหม ต้นไม้กว่าจะเกิด ต้นไม้มันจะเป็นไป ดูสิสิ่งที่มีคุณค่า ต้นไม้ที่มีแก่น ต้นไม้มีคุณภาพ มันเกิดได้น้อยมาก ต้นไม้ที่ไม่มีคุณภาพมันเกิดได้ง่ายแล้วประโยชน์มันก็จะน้อย เห็นไหม แต่ถ้าคนรู้จักใช้มัน นี่ปัญญา ในปัจจุบันเราเอาสิ่งที่เป็นพวกหญ้า พวกอะไรต่างๆ มาเป็นวัชพืช มาเป็นสิ่งว่าที่บำรุงโคนต้น เห็นไหม ถ้าเราใช้ให้มันเป็นประโยชน์ มันก็จะเป็นประโยชน์
แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพ คุณภาพ เห็นไหม คุณภาพก็คือใจเรา ใจของเรานี่ เห็นไหม ต้นไม้ต้นหนึ่งมันก็มีแก่น มีกะพี้ มีเปลือก ในต้นไม้ต้นหนึ่งก็เหมือนกัน นี่ก็เหมือนกันในเรื่องความเป็นอยู่ของเรา ในเรื่องของร่างกายก็อย่างหนึ่ง ในเรื่องของหัวใจ ของหัวใจคือความคิดไง ความคิด เห็นไหม นี่เวทนากาย เวทนาใจ เห็นไหม สุขเวทนา ทุกขเวทนา นี่แล้วทุกขเวทนา เวทนาจากภายนอก เวทนาจากภายใน เห็นไหม นี่ความเป็นอยู่ของร่างกาย เราก็ดูแลรักษาเป็นส่วนหนึ่ง ความดูแลของใจก็เป็นส่วนหนึ่ง แล้วใจก็ยังมีอารมณ์ของใจที่มันฟุ้งซ่านอันหนึ่งนะ
เวลาจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม เวลาจิตสงบเข้ามาจิตมันเป็นจิตเฉยๆ แล้วจิตเฉยๆ เราก็ทำอะไรไม่เป็น เราทำสิ่งต่างๆ ไม่เป็นเลย เหมือนกับ เห็นไหม นี่เขาพยายามจะช่วยเหลือกัน เห็นไหม เอาปลาเอาอาหารไปแจกเขา เขาได้รับเขาก็กินของเขา นี่ปลามาจากไหนล่ะ? ปลาเราจับไปแจก แต่ถ้าเขาจับปลาเป็น เห็นไหม เขารู้จักเลี้ยงปลา เขารู้จักหาปลานี่ เขาจะมีอาหารกินของเขาไปเหมือนกัน
จิตก็เหมือนกัน จิตนี่เราคิดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันปล่อยวางเข้ามาๆ เขาเอาปลามากิน เพราะอะไร เพราะเราอ่านธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม นี่บอกว่า ความสงบเป็นความสุข เห็นไหม แล้วความสงบมันปล่อยเข้ามา มันปล่อยเข้ามาได้อย่างไร ปล่อยเข้ามาเพราะว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมของเรา นี่เขาเอาปลามาให้ แล้วเราจับปลาไม่เป็น พอปลามันหมดไป เราก็ดิ้นรน เราไม่มีปลาจะกิน เห็นไหม
เวลาจิตมันเสื่อมไง เวลามันสงบมันก็สงบอยู่ เวลามันฟุ้งซ่านออกมา มันฟุ้งซ่านมันเสื่อมธรรมชาติของมัน เห็นไหม สรรพสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจัง ต้นไม้ที่มันเกิดขึ้นมา อาหารที่เรารักษา มันก็เกิด มันก็มีขึ้นมา มันก็หมดไป เห็นไหม มันเป็นอนิจจัง เพราะสิ่งที่คงที่มันไม่มี ใจของเราคงที่มันไม่มี แต่ตัวธาตุรู้ ตัวจิตมันมี ถ้ามันไม่มี เวลาตายไปคนต้องตาย ตายแล้วต้องสูญกันไปเลย
แต่นี่มันตายมันไม่สูญ ไม่สูญเพราะอะไร ไม่สูญเพราะมันตัวจิตนี่เป็นสสาร ธาตุรู้มันมี พอธาตุรู้มันมีมันเวียนตายเวียนเกิดไป เห็นไหม ตัวธาตุรู้นี่ ตัวสิ่งที่เป็นความฟุ้งซ่านมันเกิดดับเกิดดับ มันเป็นอาการของใจ เห็นไหม เราก็รู้ได้แค่นั้นไง รู้ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ได้แค่นั้นนะ แต่วิธีการแก้ไข วิธีการหาปลารู้ไม่ได้ไง เพราะเราหาปลาไม่เป็น เราไม่เคยทำ เห็นไหม
ถ้าเราหาปลาเป็น เราเคยทำ เราเคยทำของเรานี่ เขาเอาปลามาให้เรา เราก็รู้ เห็นไหม นี่คนที่เอาปลามาให้เรา เห็นไหม เวลาคนมีน้ำใจขึ้นมา เราหาปลาก็เป็น แต่เวลาเขามีน้ำใจ เห็นไหม คนมีน้ำใจเขาจะสละทาน เขาเอามาให้เรา เราก็รับ เห็นไหม ปลาที่เขาเอามาให้กินก็ได้ เราจะหากินเองก็ได้ หากินเอง เห็นไหม พอจิตมันเข้าใจถึงความฟุ้งซ่าน มันเข้าใจถึงอาการของใจ มันเข้าใจถึงเงา เห็นไหม เราออกไปยืนในที่แดด มันก็จะมีเงา เห็นไหม เราเข้าร่มเงามันก็ไม่มี เวลาจิตมันสงบมันก็สงบได้ของมัน แต่ในอาการของใจอันนั้นนะ มันสงบเข้ามาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าทำต่อไป ถ้าไม่มีสติ นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านตอบปัญหากัน เห็นไหม นี่จิตมันสงบเข้ามา นี่สิ่งที่มันสงบ สิ่งที่พาสงบนี่สิ่งนี้เป็นธรรม นี่สิ่งที่เป็นธรรมมันมีเราล่ะ ถ้ามีเรามันยังมีมิจฉาอยู่ เพราะมันมีตัวตน มันมีความสุขความทุกข์อยู่ มันต้องแสวงถนอมรักษา เห็นไหม แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันใช่ไม่มีเรา มันว่างธรรมชาติของมัน แต่! แต่มันมีผู้รู้นะ มันมีผู้เป็นเจ้าของนะ มันไม่ใช่เป็นความว่างแบบไม่มีเจ้าของ ความว่างที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าความว่างที่ควบคุมไม่ได้ ความว่างที่มันเป็นธรรมชาติอันนั้น ดูสิอวกาศมันก็ว่าง บางสิ่งก็มันก็ว่าง เห็นไหม เขาทำกระสวยอากาศ เขาทำสุญญากาศมันก็ว่าง ความว่างอย่างนั้นเป็นประโยชน์อะไรกับเขา เพราะไม่เป็นผู้ที่รับรู้ เห็นไหม มันเป็นอนิจจังไง ความว่างมันเกิดดับ เพราะมีการสร้าง
แต่ถ้าเป็นความว่างของใจ ที่ผลมันเป็นอกุปปธรรมขึ้นมาจากใจ เห็นไหม นี่ในป่าๆ หนึ่ง ต้นไม้มันก็มีมหาศาลเลย แล้วแก่นของใจ ใจที่มันต้องเกิดต้องตายนะ อาการเกิดดับอย่างนี้ อาการที่มันเป็นความฟุ้งซ่านอย่างนี้ เกิดดับนี้ใครๆ ก็รู้ได้ แต่อาการของใจที่ว่าวิธีการหาปลา วิธีการจะล่อให้กิเลสออกมา เห็นไหม
ดูสิ ดูอย่างโปฐิละ ที่ว่าสามเณรน้อยสอน เห็นไหม นี่รู้มาก ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขนาดเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เทศนาว่าการสั่งสอนลูกศิษย์เป็นห้าหกร้อยองค์เลย นี่รู้ไปหมด พระไตรปิฎกถามมานี่รู้หมดเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ใบลานเปล่า เห็นไหม
นี่เขาให้ปลามา เพราะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมที่เทศนาว่าการนี่พระไตรปิฎกจำมาไง สิ่งที่จำมาเทศนาว่าการเป็นวิชาการไง วิชาการที่จำมาที่รู้ไปหมดเลย แต่นี่คือปลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ปลาของเรา เห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนสติ เห็นไหม ใบลานเปล่า ใบลานเปล่า ...มีอำนาจวาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะคิดได้ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนานะ อย่างเช่น เราเป็นลูกนี่ พ่อแม่เอ็ดเรา เราจะน้อยใจมาก แต่นี่ถ้าพ่อแม่เอ็ดเรา ถ้าเด็กมันดี เด็กมีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม นี่ผู้ใหญ่สอนผู้ใหญ่ต้องมีเหตุผลสิ
นี่ไงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เตือน เห็นไหม เตือนว่า ใบลานเปล่า คำว่าเปล่า เปล่าประโยชน์ไง เปล่าประโยชน์ก็ได้คิด พอได้คิดก็จะไปฝึก ไปฝึกเพราะอะไร เพราะวงการพระจะรู้กันว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ก็ไปหาสำนักปฏิบัติ เห็นไหม พระอรหันต์ทั้งวัดเลย ไปถึงก็องค์ไหนก็สอนไม่ได้ เพราะว่าศักยภาพทางสังคมเขาสูงมาก องค์ไหนก็ไม่กล้าสอนไง จนไปถึงเณรน้อยไง พอเณรน้อยมันถึงองค์สุดท้ายแล้วปฏิเสธไม่ได้แล้วก็ทดสอบ ทดลองดูก่อน ว่ามีความเชื่อไหม ให้ลงน้ำ ให้ลงต่างๆ ให้ลงน้ำไง เราต้องการอย่างนั้น... คือว่าสั่งให้เป็นไป ให้ลงไปทำๆ
พอจะเริ่มสอน เห็นไหม บอกว่า ร่างกายเรานี้เปรียบเหมือนจอมปลวก เปรียบเหมือนจอมปลวกนะ มันมีเหี้ยตัวหนึ่ง คือความรู้สึกอันนี้อยู่ในจอมปลวกนั้น ให้ปิดทวาร ให้ปิด ๕ รู เปิดไว้รูหนึ่ง เพื่อจะให้จอมปลวกนั้นออกมาแล้วจับจอมปลวกนั้น ให้เหี้ยออกรูนั้น แล้วเราตั้งสติไว้ตรงนั้น เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบ เห็นไหม ความฟุ้งซ่านเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าเราจับปลาวิธีการจับปลา วิธีการหาปลา มันมีวิธีการอย่างนี้ไง ถ้ามันจิตสงบขนาดไหน ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธินะ คำว่าสัมมาคือมีสติไง มีสติคือมันรู้ตัวตน มันไม่หลงไง ไม่เข้าใจว่าอันนี้นี่ว่างแล้ว นี่จอมปลวกปิดให้หมดเลย แล้วเหี้ยที่อยู่ในจอมปลวกนั้นก็ฝังไว้อย่างนั้นนะ มันไม่เป็นอะไรหรอก เห็นไหม มันเป็นนิพพานๆ มันอยู่ในจอมปลวกนั่นนะ นี่เปิดไว้ทวารหนึ่งให้เหี้ยออกจากจอมปลวกนั้น แล้วพยายามคอยสังเกตดู แล้วถ้าจับเหี้ยตัวนั้นได้ เห็นไหม นี่เอามาไต่สวนกัน
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบขนาดไหนนี่ เราดูมันเสวยอารมณ์ ความฟุ้งซ่านสงบเข้ามานั้นมันเป็นอาการของใจ ไม่ใช่ตัวใจ แล้วเหี้ยตัวนี้มันอยู่ในใจนี้ ไม่ได้อยู่ที่อาการของใจนั้น มันอยู่ในจอมปลวกนี้ เห็นไหม นี่วิธีการ แล้ววิธีการจะจับ ถ้าจับแล้ววิธีการกระทำไป มันจะมีเหตุมีผลของมัน นี่กิจจญาณ กิจจญาณ เห็นไหม สัจจญาณ กิจจญาณนี่ แล้วเกิดสัจจะความจริงขึ้นมา เห็นไหม อันนี้เป็นวิธีการหาปลา วิธีการหาปลาเราจะมีปลากินตลอดไป เราจะช่วยตัวเองได้ตลอดไป เห็นไหม
นี่สร้างบุญกุศล บุญกุศลจากภายนอกนะ ความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม เราเจือจานกัน เราเผื่อแผ่กัน นี่สร้างสมให้มันมีสติสัมปชัญญะ เวลาครูบาอาจารย์ เวลาพ่อแม่กล่าวตักเตือนนี่มันได้ฉุกคิดไง ฉุกคิดว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ มันจะย้อนกลับมา นี่วิธีการหาปลา แล้วเราจะไม่เสียคนนะ เราจะไม่เสียคน เราจะเป็นคนที่ว่าอยู่ในร่องในรอย เห็นไหม
ศีลธรรม ศีลธรรมเป็นบรรทัดฐานวัดใจของเรา ถ้าใจของเรามีร่องมีรอย ใจของเรามีบรรทัดฐาน มันจะไม่เป็นคนใจรั่ว ไม่เป็นคนลอยลม ไม่เป็นคนที่เอาแต่ใจของตัวเอง เห็นไหม มันมีกติกา มันคุยกันด้วยเหตุด้วยผล มันจบลงได้ จบลงด้วยเหตุด้วยผล เหตุผลนี้คือธรรมนี่ ยอมรับเหตุและผล เห็นไหม นี่เป็นคนที่ว่าไม่ขวางโลก
ถ้าคนขวางโลก เห็นไหม เอาแต่ความเห็นของตัวขวางโลกไป คนขวางโลกนะกะคนขวางธรรม ถ้าเราขวางโลกแต่ไม่ขวางธรรม ธรรมเป็นสภาวะแบบนั้น เราพอใจกับธรรม เพราะอะไร เพราะกระแสโลกมันดึงไป เราก็ไปกับเขาหมดใช่ไหม แต่เราไม่ขวางเขา ถ้าคนมันมีสติสัมปชัญญะมันจะทิ้ง อย่างที่โปฐิละ เห็นไหม ทิ้งจากความสังคมยอมรับ ทิ้งจากสิ่งจากหัวโขนต่างๆ แล้วมาหาสัจจะความจริงจากภายใน สุดท้ายแล้วเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เห็นไหม นี่สัจธรรม
เขาให้ปลามากิน คือศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษากันอยู่นี่ แล้วเราพยายามฝึกหัดหาปลาให้เป็น แล้วถ้าเราหาปลาเป็นขึ้นมา วิธีการของเรา เราจะดำรงชีวิต เห็นไหม ดำรงชีวิตได้รู้จักธรรมะ จะเข้าสังคมไหน จะที่ไหนนะ องอาจกล้าหาญไง องอาจกล้าหาญเพราะเราจับปลาเป็น เราทำได้ทุกวิธีการ เราทำของเราได้ ไม่ใช่ว่าเรารอแต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าพอเขาถามปัญหาขึ้นมา ก็จะย้อนกลับไปว่าอยู่หน้าไหน อยู่บทไหน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสภาวะแบบใด นี่สิ่งนั้นไม่ทัน ไม่ทันกิเลส นี่ขนาดคนอื่นถามนะ แล้วขนาดกิเลสมันขึ้นมามันไม่ต้องถาม มันขึ้นมาจากใจของเรา มันดิ้นรนในใจของเราแล้วเราเอาไม่ทันนี่ ปลามันดิ้นรนอยู่ในหัวใจ เห็นไหม
หัวใจเราต้องการเรียกร้องให้เราช่วยเหลือ แต่เราช่วยเหลือใจเราไม่ได้ เราก็ทุกข์ตลอดไป แต่ถ้าเราช่วยเหลือได้ เราทำของเราได้ เราควบคุมได้ แม้แต่ทางโลก เขาอยู่กับโลก สังคมก็พอมีความสุข ถ้าประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วนะ ที่สุดแห่งทุกข์นะ ความสุขจากในหัวใจ ความสุขอย่างนี้สุขมาก สุขโดยที่ไม่ต้องไปดิ้นรน แต่ด้วยมารยาสาไถย ทุกคนก็บอกสุขมาก สุขจากใจๆ สุขแต่เปลือกๆ หลอกกันไปไง แต่หัวใจมันดิ้นรนไง
แต่ถ้ามันเป็นสุขจากใจจริงๆ นะ พฤติกรรมมันฟ้อง พฤติกรรมของพระองค์นั้นฟ้อง พฤติกรรมของครูบาอาจารย์ฟ้องหมด ว่าความสุขของใจมันสงบ มันจะนิ่งอยู่ นี่ธรรมนี้ไม่กวนบ้านกวนเมือง ธรรมนี้ไม่เบียดเบียนใคร เบียดเบียนใครเป็นอกุศล เบียดเบียนใคร ทำลายใครไม่ได้ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ เป็นกรรมการ เวลาเขาแข่งขันกีฬา เห็นไหม เขามีกรรมการเขาคอยควบคุมนะ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ชี้นำอีกเรื่องหนึ่ง ครูบาอาจารย์ชี้นำคอยบอกคอยสอนนั้นไม่ใช่การเบียดเบียน เป็นการสอนลูกศิษย์ แต่ถ้าสังคมเบียดเบียนกันอันนั้นไม่ใช่ธรรม เอวัง